สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูก วันนี้จะมาสอนเทรด Forex ฉบับย่อ ให้ได้รู้จักกับภาพรวมในการเทรดเพื่อใช้เป็น Framework ในการนำไปพัฒนาต่อยอดเส้นทางเทรดเดอร์ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพราะความรู้ที่ถูกต้องนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรด หากขาดความเข้าใจที่ดีนั้นก็มีทั้งความเสี่ยง ทั้งเสียเวลาและขาดทุน ไปดูกันว่าในการเทรด Forex มีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องรู้
เริ่มต้นเทรดด้วยคู่เงินอะไรดี?
สิ่งแรกที่เทรดเดอร์ควรรู้ก่อนเกี่ยวกับคู่เงินคือ คู่เงินไหนมีความผันผวนสูงต่อวัน เพราะการเทรดคู่เงินที่มีความผันผวนสูงนั้นจะช่วยให้มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าคู่เงินที่แทบไม่มีความเคลื่อนไหว ซึ่งคู่เงินที่เคลื่อนไหวแบบ Sideways (การเคลื่อนไหวแบบขึ้น/ลงเพียงเล็กน้อย) ก็จะทำให้ทำกำไรได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แล้วจะรู้ได้ยังไง? ว่าคู่เงินไหนที่มีความผันผวนสูง
อีกหนึ่งช่องทางที่สามารถเข้าไปเช็คได้ว่าคู่เงินไหนมีความผันผวนมากกว่าปกติก็สามารถเข้าไปได้ที่ Investing.com โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่าคู่เงินที่มีความผันผวนสูงก็อย่างเช่น AUD/USD มีความผันผวนต่อวันถึง 1.09% ก็ถือได้ว่ามีความผันผวนสูงกว่าคู่เงินอื่น ๆ
ซึ่งคู่เงินที่มีความผันผวนสูงกราฟราคาจะมีความเคลื่อนไหวเยอะ เมื่อมีการเคลื่อนไหวเยอะก็จะทำให้เราสามารถที่จะวิเคราะห์กราฟราคาได้ และเวลาที่ตั้ง Take Profit หรือ Stop Loss นั้นก็มีโอกาสที่ราคานั้นจะไปถึงได้ง่ายกว่าคู่เงินที่มีการผันผวนน้อย
จากภาพตัวอย่างด้านบนจะเห็นได้ว่าคู่เงิน EUR/CHF มีความผันผวนเพียง 0.59% ต่อวันเท่านั้น ซึ่งถ้าดูจากกราฟราคาในภาพด้านล่างนี้ จะเห็นได้เลยว่าราคาค่อนข้างจะไม่ไปไหน จะเคลื่อนที่ป็น Sideways ซะส่วนใหญ่
และนี่ก็คือในส่วนของคู่เงินว่าควรจะเทรดคู่เงินไหนดี สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ฟูลไทม์ คือเลิกงานมาแล้วก็เทรดคู่เงิน EUR/USD อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ในประเทศไทย เพราะช่วงที่ตลาดเปิดจะเป็นช่วงหัวค่ำของบ้านเรา
เมื่อพูดถึงเรื่องเวลาในการเทรดแล้วก็ไปดูเกี่ยวกับสิ่งที่ควรรู้ในการเทรด Forex ในลำดับถัดไปกัน
ควรเทรดในเวลาไหนดี?
ตรงนี้ก็สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Investing.com อีกเช่นกัน โดยการกดเข้าไปดูที่คู่เงินแล้วก็จะเห็นความผันผวน ซึ่งคู่เงินนั้นก็อาจไม่ได้ผันผวนทั้งวันนะ ก็สามารถดูเวลาที่ผันผวนได้ด้วย แต่ก็ต้องเช็คเวลาด้วยว่าเวลาที่เราดูนั้นเป็นเวลาตามเซิฟเวอร์หรือเป็นเวลาตามประเทศไทย จะได้รู้ว่าเวลาที่เราคำนวณนั้นใช่เวลาตามบ้านเรารึเปล่า
มาดูตัวอย่างการดูความผันผวนเพื่อใช้ในการเข้าเทรดกัน
ซึ่งหากดูจากภาพตัวอย่างคู่เงิน AUD/JPY นี้ถือว่ามีความผันผวนที่เหมาะสม โดยมีความผันผวนต่อวันอยู่ที่ 1.16% แต่ในเวลาที่ผันผวนนั้นดึกเกินไป โดยอยู่ในช่วงตีหนึ่ง
ลองมาดูตัวอย่างอีกคู่เงินกัน
นี่คือความผันผวนของคู่เงิน AUD/USD ซึ่งมีความผันผวนใกล้เคียงกับ AUD/JPY โดยมีความผันผวนต่อวันอยู่ที่ 1.09% แต่ว่าคู่เงิน AUD/USD นี้มีความผันผวนในช่วงบ่าย ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เทรดเดอร์หลาย ๆ คนสะดวกในการเข้าเทรด
สำหรับเทรดเดอร์ในบ้านเราคู่เงินที่มีดอลล่าร์สหรัฐนั้น (USD) ถือเป็นคู่เงินที่เหมาะกับการเทรดในบ้านเรา เพราะถ้าเป็นการเทรดในช่วงหัวค่ำ ซึ่งเป็นเวลาว่างของคนทั่วไป คู่เงินไหนที่เป็น USD นั้นจะมีประกาศตัวเลขต่าง ๆ ออกมาเยอะแยะเลย ช่วงเวลาที่สำคัญนั้นก็คือช่วงหนึ่งทุ่มครึ่งแล้วก็ช่วงสามทุ่ม จะเป็นช่วงเวลาที่มีข่าวออกด้วย
ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเทรดในบ้านเราก็เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 5 ทุ่มเลย ก็เป็นช่วงที่ตลาดฝั่งอเมริกาเปิด และเป็นช่วงที่จะมีการประกาศอัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ ก็เลยส่งผลให้ช่วงนี้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างเยอะ
และยังมีอีกสิ่งนึงที่สำคัญในการเทรด ที่จะขาดไปไม่ได้เลย
กลยุทธ์ในการเทรด
กลยุทธ์ในการเทรดมีรูปแบบไหนบ้าง? มีอะไรบ้างที่เทรดเดอร์ใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคา
1. เทรดตามเทรนด์
สมมติว่าตอนนี้ราคากำลังมีการปรับตัวขึ้นแล้วจะหาจุดเทรด Order Buy ตามไปเรื่อย ๆ แบบนี้คือการเทรดตามเทรนด์
2. เทรดโดยการหาจุดกลับตัว
คือการวิเคราะห์โดยรอจังหวะราคาว่าจะมีการกลับตัวตอนไหน ถ้ามีการกลับตัวจะเข้า Order สมมติตอนนี้ราคากำลังมีการปรับตัวขึ้น เราไม่ใช่พวกเทรดตามเทรนด์ดังนั้นเราจะไม่เปิด Order Buy สิ่งที่เราจะทำก็คือรอจังหวะกลับตัวเพื่อเปิด Order Sell รอดูว่าราคาที่กำลังมีการปรับตัวขึ้นนั้นจะมีการอ่อนแรงตอนไหน เมื่อมีท่าทีอ่อนแรงให้เห็นก็หาจังหวะเปิด Order Sell นี่ก็คือการเทรดแบบรอการกลับตัวของกราฟราคา
3. เทรดแบบ Range
ในที่นี้จะขอเรียกว่าเป็นการเทรดในกรอบ Sideways ก็คือหากเห็นกราฟราคาอยู่ในรูปแบบของกราฟ Sideways ก็ทำการเปิด Order Buy / Order Sell ตามแนวรับ/แนวต้านหรือใช้เทคนิคที่สามารถเทรดช่วง Sideways ได้เช่น Harmonic เป็นต้น สมมติว่าราคาตอนนี้กำลังเป็น Sideways อยู่ หากราคาขึ้นไปชนแนวต้านที่แข็งแรงและไม่สามารถผ่านไปได้ มีแนวโน้มเป็น Sideways อยู่นะตอนนี้ เราก็สามารถหาจังหวะเข้า Order Sell ได้
4. เทรดกราฟเปล่า
เป็นการเทรดโดยดูพฤติกรรมของแท่งเทียน ไม่ว่าจะเป็นแบบ Smart Money Concept หรือว่าจะเป็นการเทรดตาม Demand กับ Supply Zone ก็ถือว่าเป็นการเทรดตามพฤติกรรมของกราฟราคา และเป็นรูปแบบการเทรดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถดูเนื้อหาเกี่ยวกับการเทรดในรูปแบบนี้ได้ในบทความทำกำไรในตลาด Forex ด้วยกลยุทธ์ Demand Supply Zone
5. เทรดตาม Indicator
เป็นการเทรดแบบ Technical Analysis แบบ 100%
6. เทรดด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
เข้าไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในบทความการวิเคราะห์ทางเทคนิค VS การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในการเทรด Forex
และนี่คือกลยุทธ์ในการเทรด Forex ทั้ง 6 แบบ จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเทรดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เทรดเดอร์บางคนอาจจะเทรดทั้ง 6 แบบเลยก็ได้เหมือนกัน ซึ่งสามารถไปทำความรู้จักกับแนวทางในการพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์ได้ที่บทความวิธีการพัฒนากลยุทธ์การเทรด Forex
คราวนี้ไปดูเรื่องของ Time Frame กัน
ใช้ Time Frame แบบไหนในการเทรดดี?
เทรดเดอร์หลายคนน่าจะตั้งคำถามอยู่ว่า ตัวเราเหมาะกับการเทรดกับ Time Frame ในแบบใด?
ก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนว่าจะต้องเทรดใน Time Frame นี้ แบบนี้จะดีที่สุด ไม่ได้จะมาแนะนำแบบนี้ ที่จะต้องดูก็คือต้องดูก่อนว่าเราเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับหลักการวิเคราะห์กราฟราคาและความถี่ในการเข้า Order หากเป็นคนเข้าเร็วออกเร็วก็ไม่ต้องใช้ Time Frame ใหญ่มาก แต่หากเป็นเทรดเดอร์ในสไตล์ที่วิเคราะห์โครงสร้างกราฟราคาแบบละเอียดเลย แล้วก็เข้า Order ทีนึงก็ปล่อยไว้ 3-4 วันหรือเป็นสัปดาห์ ดังนั้น Time Frame ที่จะใช้ในการเทรดก้อาจจะเป็น Time Frame ที่ใหญ่ขึ้น เช่น รายวัน หลัก ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากลยุทธ์ของเรานั้นเป็นแบบไหนนั่นเอง ซึ่งก็ไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้จากบทความใช้ Time Frame อย่างไรให้กลายเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพในการเทรด Forex
สุดท้ายเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในบทความสอนเทรด Forex นี้ไม่ได้เช่นกัน นั่นก็คือเรื่องของการจัดการความเสี่ยงนั่นเอง
การจัดการความเสี่ยงในการเทรด Forex
สำหรับแนวทางในการจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้ มีดังนี้
1. ใช้ % ความเสี่ยงที่เรารับได้
ใช้ % ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น 1% สมมติว่ามีทุนอยู่ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หากเราใช้ความเสี่ยงที่ 1% ถ้าเกิดว่ามันไปถึง Stop Loss ก็ควรจะเป็นเงินที่จำนวนน้อยกว่า 10 ดอลล่าร์สหรัฐนั่นเอง เพื่อให้พอร์ตของเรามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
2. Risk Reward Ratio ต้องสมเหตุสมผล
หากพูดถึงอัตราความเสี่ยงต่อกำไร สมมติเราวิเคราะห์กราฟแล้วว่าเราจะต้องเข้า Order ตรงนี้ ก็ต้องดูอีกทีนึงว่าถ้าหากเข้า order ตรงนี้ จุด Take Profit จะอยุ่ตรงไหน? จุด Stop Loss จะอยู่ตรงไหน? เมื่อคำนวณเรียบร้อยแล้ว ก็มาคำนวณต่อว่าถ้าไปถึง Take Profit จะเป็นเงินเท่าไหร่? แล้วถ้าหากไปถึง Stop Loss จะเป็นเงินเท่าไหร่?
สมมติไปถึง Stop Loss จะเป็นเงิน 10 ดอลล่าร์สหรัฐ และถ้าไปถึง Take Profit จะเป็นเงิน 20 ดอลล่าร์สหรัฐ แบบนี้แปลว่ายอมเสี่ยง 10 ดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อให้ได้กำไร 20 ดอลล่าร์สหรัฐ นั่นหมายความว่ามี Risk ต่อ Reward อยู่ที่ 1:2 นั่นเอง
3. มี Stop Loss ทุกครั้งในการเทรด
พยายามอย่าเลื่อน Stop Loss เพียงเพราะว่าไม่ยอมที่จะขาดทุนหรือว่าทำใจขาดทุนไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่จะขาดทุนก็ต้องยอมปล่อยนั่นเอง
เข้าไปดูเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงได้ในบทความการเทรด Forex และการจัดการความเสี่ยงให้ขาดทุนน้อยที่สุด
สรุป
ในบทความสอนเทรด Forex สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex นี้ อยากให้ผู้ที่กำลังเป็นเทรดเดอร์ทุกคนได้เห็นภาพรวมของการเทรด แต่ยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาและประสบการณ์เพื่อให้เข้าใจในการเทรดอย่างแท้จริงอีกมาก หากคุณพร้อมที่จะเติบโตในเส้นทางสายเทรดเดอร์ สามารถเข้ามาเรียนรู้ตลาดและเข้าใจเทคนิคเทรดเบื้องต้นแบบฉบับอาจารย์เต้ยที่จะทำให้คุณรู้จักและเข้าใจตลาดมากขึ้นในคอร์ส START TO TRADE
Sources : Tradeciety, Investing.com
สนใจคอร์สเรียน สัมมนาฟรี และข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้ที่
Facebook: Bravo Trade Academy Global
YouTube: Bravo Trade Academy
Line@: BravoTradeAcademy
Instagram: Bravotradeacademy
TikTok: @bravo_tradeacademy
Twitter: Toeybravo
Website: www.bravotradeacademy.com