มือใหม่หลายๆคนที่เข้ามาในตลาด Forex คงจะคุ้นหูกับคำว่า Leverage , Margin กันมาบ้าง ในการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์เรามักจะเห็นคำนี้ แต่เคยสงสัยกันไหมว่ามันคืออะไร มีประโยชน์ยังไง และเราจะเลือกค่าเท่าไหร่ดี วันนี้มาหาคำตอบกัน
Leverage คืออะไร ?
Leverage คือ การเพิ่มพลังทวีคูณในการเทรด เป็นการใช้เงินลงทุนน้อยแต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง โดยเลเวอเรจจะอยู่ในรูปแบบของอัตราส่วนเงินลงทุน:เงินที่สามารถเทรดได้ เช่น 1:100 หมายความว่าถ้าเรามีเงินลงทุน $1,000 เราจะสามารถซื้อขายได้สูงสุด $100,000 แต่ถ้าหากไม่มีเลเวอเรจเราต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง $100,000 เลยทีเดียว โดยค่าเลเวอเรจจะขึ้นอยู่กับแต่ละโบรกเกอร์และประเภทของบัญชี
จะเห็นได้ว่าการใช้เลเวอเรจช่วยให้มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดโดยใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย หมายความว่าเราใช้เงินลงทุนน้อยแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงแบบทวีคูณ
การเคลื่อนไหวในตลาดสามารถส่งผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิมโดยไม่ใช้เลเวอเรจ อย่างไรก็ตาม Leverage ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพราะอาจเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสได้กำไรเยอะ แต่ถ้าเกิดว่าเราขาดทุนก็ขาดทุนเยอะเช่นกัน มาดูตัวอย่างการใช้เลเวอเรจกัน
ตัวอย่างที่ 1
เทรดเดอร์ A ต้องการเปิดออเดอร์ EUR/USD จำนวน 0.1 ล็อต มูลค่าสัญญาคือ 10,000 ยูโร และเลเวอเรจที่ใช้คือ 1:30 หรือ 3.33% ของเงินฝาก
หมายความว่าเทรดเดอร์ A ต้องใช้เพียง 3.33% ของ EUR 10,000 ในการเปิดออเดอร์
ตัวอย่างที่ 2
เทรดเดอร์ B ต้องการเปิดออเดอร์ซื้อใน CFD S&P500 ด้วยตัวคูณ 50
สมมติว่ามูลค่าของสัญญา CFD สำหรับ S&P500 คือ 2,000 ดอลลาร์
การเปิดออเดอร์โดยไม่ใช้เลเวอเรจ นักเทรดต้องมีเงินในบัญชีอยู่ 2,000 x 50 = 100,000 ดอลลาร์
แต่ถ้าใช้เลเวอเรจอยู่ที่ 1:20 เทรดเดอร์ B จำเป็นต้องมี 5% ของมูลค่าสัญญาเพื่อเปิดออเดอร์
ดังนั้น ถ้ามีเงินฝากอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์ ก็สามารถทำการซื้อขายในช่วง 100,000 ดอลลาร์ (2,000 x 50) ได้
ข้อดีของ Leverage
- มีโอกาสได้กำไรที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบดั้งเดิม
- นักเทรดสามารถออกล็อตได้ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับการซื้อสินค้าที่จับต้องได้ในจำนวนเงินลงทุนที่เท่ากัน
- เลเวอเรจช่วยให้นักเทรดใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งเพียงเล็กน้อยเพื่อการลงทุน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆพร้อมกันได้อีกด้วย
ข้อเสียของ Leverage
- ถึงแม้ว่าโอกาสได้กำไรจะสูง แต่หากเกิดขาดทุนก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงเช่นกัน
- การออกล็อตได้มากกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม อาจเพิ่มความเสี่ยงให้พอร์ตติดลบได้สูงเช่นกัน
- การกระจายทุนหลายสินทรัพย์มากเกินไป อาจทำให้ยากต่อการติดตามมูลค่ารวมของการลงทุนทั้งหมด
เลือก Leverage เท่าไหร่ดี ?
จากที่พูดถึงกันไปแล้วถึงข้อดีและข้อเสียของ Leverage การตัดสินใจว่าจะใช้เลเวอเรจเท่าไหร่นั้นจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์แต่ละคนและประสบการณ์
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก Leverage สูง เช่น 1:2000 คือ มีเงินลงทุนน้อยแต่สามารถออกล็อตได้เยอะ แต่ถ้าเกิดว่าเราเสียก็มีโอกาสล้างพอร์ตสูงเช่นกัน ลักษณะนี้จะเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะหากกราฟไม่ได้ไปในทิศทางที่เราวางแผนไว้ก็สามารแก้เกมส์หรือวางแผนใหม่ได้
ถ้าเราเลือก Leverage น้อย เช่น 1:100 เราจะสามารถออกล็อตสูงสุดได้น้อยกว่าแบบแรก แต่ข้อดีก็คือหากเรา overtrade โอกาสล้างพอร์ตจะต่ำกว่าแบบแรก จึงเหมาะกับเทรดเดอร์มือใหม่หรือประสบการณ์ยังไม่มาก
Margin คือ อะไร?
Margin คือ เงินทุนที่ต้องมีในบัญชีเพื่อเป็นหลักประกันในการออกออเดอร์ เมื่อปิดออเดอร์แล้วโบรกเกอร์จะคืนเงินส่วนนี้คืนให้กับเรา เทรดเดอร์จำเป็นต้องมีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการซื้อขายที่ดำเนินการอยู่ ส่วน Free Margin คือ เงินทุนที่เหลืออยู่ในบัญชีซึ่งสามารถใช้ซื้อขายสินค้าอื่นๆและครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในยอดคงเหลือที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายปัจจุบัน การซื้อขายในลักษณะนี้เรียกว่าการซื้อขายในระบบมาร์จิน (Margin trading) ซึ่งเป็นวิธีการใช้สินทรัพย์ของบุคคลในการขอสินเชื่อจากโบรกเกอร์ แล้วนำเงินที่ได้ไปใช้ในรูปแบบของการซื้อขายในตลาด หากจำนวนเงินคงเหลือลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่กำหนด โบรกเกอร์จะต้องเรียกเก็บเงินเพิ่มหรือต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยใช้เงินที่เหลืออยู่หรือขายสินทรัพย์ในกระบวนการที่เรียกว่าการเรียกเก็บเงินหลัก (Margin call)
โดยสูตรการคำนวณ Margin มีดังนี้
ตัวอย่างเช่น
เราต้องการออกออเดอร์ EUR/USD ปริมาณ 1 Lot โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.5000 สมมติว่า Contract Size อยู่ที่ 100,000 และมี Leverage ที่ 1:500
เมื่อคำนวณตามสูตรจะได้ค่า Margin = (1.5000 x 1 x 100000) / 500 = $300
ซึ่งแปลว่าเราต้องจ่ายเงิน $300 ในการออกออเดอร์
Margin Level คืออะไร ?
Margin Level หรือ %Margin คือค่าความปลอดภัยของพอร์ตลงทุน เป็นตัวบ่งชี้การจัดการความเสี่ยงที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากออเดอร์ที่เปิดอยู่ในบัญชีของเรา ถ้า Margin Level มีค่ามากแสดงว่ามีปริมาณเงินสดเหลือสำหรับเทรดเยอะ แต่ถ้า Margin Level น้อย แสดงว่าเงินสดที่สามารถเทรดได้มีน้อยลง และถ้าน้อยมากกว่าค่าที่กำหนดอาจเกิดการเรียกเก็บเงินค้ำประกันหรือ Margin Call ได้ เพราะฉะนั้น Margin Level ยิ่งมีค่ามากยิ่งดี
โดยสูตรการคำนวณ Margin Level คือ
ซึ่งถ้าเราไม่มีการซื้อขายหรือไม่มีออเดอร์ค้างอยู่ ค่า Margin Level หรือระดับการใช้เงินค้ำประกันของจะเป็นศูนย์ แต่เมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้นจะมีค่า Margin Level ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume), ประเภทของตลาด (Type of market), การใช้เลเวอเรจ (Leverage)
เห็นไหมว่าการที่เรารู้จักคำศัพท์ต่างๆที่อยู่ในกระดานเทรดของเรานั้นมีประโยชน์มากๆ ช่วยให้เราเข้าใจและระมัดระวังถึงความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยให้เราบริหารจัดการพอร์ตได้ดีขึ้นอีกด้วย ถ้าอยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารพอร์ตแบบละเอียด สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Money Management
Source: XTB
สนใจคอร์สเรียน สัมมนาฟรี และข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้ที่
Facebook: Bravo Trade Academy Global
YouTube: Bravo Trade Academy
Line@: BravoTradeAcademy
Instagram: Bravotradeacademy
TikTok: @bravo_tradeacademy
Twitter: Toeybravo
Website: www.bravotradeacademy.com